เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ.. วันพระ เห็นไหม วันพระวันโกน เราจะต้องหาที่พึ่งนะ เราทุกคนเวลามีทางโลกนี่ บอกเลยการดำรงชีวิตนี้ทุกข์มาก ต้องแสวงหา ต้องมีที่อยู่ที่กินไง ต้องแสวงหา งานนี้เป็นงานหนักมาก..ใช่ ! งานหนักมาก แต่งานหนักขนาดไหนนะมันก็ต้องเป็นอนิจจัง มันจะมีสภาวะเป็นอย่างนี้ไป

แต่ถ้าวันพระวันเจ้า เราหาที่พึ่งของใจ ถ้าหาที่พึ่งของใจนะ การกินการอยู่ คนเกิดมาก็ต้องมีการกินการอยู่ มีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นล่ะ สิ่งที่หามาเป็นเครื่องอาศัย แต่ถ้าใจวิตกกังวลนะ มันทุกข์ไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น ถ้าใจไม่วิตกกังวลนะ หามันเป็นหน้าที่ พอมีหน้าที่ นี่พออยู่พอกิน เราไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เราเป็นเศรษฐีถ้าหัวใจมันรู้จักพอ ทำมาหากินของเรา เราทำมาหากินของเรา แต่เท่านี้.. มันมีเท่านี้แหละ

แต่ ! แต่เวลาทุกข์ เวลาอริยสัจ เห็นไหม นี่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. ทุกข์เพราะอะไร นี่ชาติปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง การเกิดการตาย เป็นทุกข์อย่างยิ่ง.. โสกะปริเทวะ ความอาลัยอาวรณ์ ความเศร้าใจ ความหมองใจ มันเป็นทุกข์จรมา ทุกข์ทั้งนั้นเลย

แต่เวลาเราทำขึ้นมานะ มันไม่เป็นทุกข์เพราะอะไร เวลามันจรมา เห็นไหม ทุกข์มันวิตกกังวล ความเป็นทุกข์ ความอาลัยอาวรณ์ แต่เราคิดเป็นบวกไง บวกคือว่าเราจะทำของเรา ทำงานของเรา เราห่วงหาอาลัยอาวรณ์ของเรานะ มันเป็นอันเดียวกัน แต่เพียงแต่มันเป็นสุขกับเป็นทุกข์ ถ้าเป็นความไม่พอใจมันก็เป็นทุกข์ ถ้ามันเป็นความพอใจมันก็เป็นสุข

สุขเวทนา ทุกขเวทนา เป็นนามธรรมทั้งนั้น สิ่งที่เป็นนามธรรมเพราะอะไร เพราะเราไม่ศึกษาธรรมะว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันมีดำรงอยู่เป็นสภาวะของมัน ในเมื่อคนเราเกิดมามีร่างกายและจิตใจ เวลาคนเกิดมานี่มันมีร่างกาย เวลามันไปที่ไหนมันก็มีเงาของมัน เห็นไหม เงาคืออาการความคิด เป็นความคิดของใจ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราตลอดเวลา

สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้าเราใช้เป็น เรามีศีลธรรม จริยธรรม ใช้สิ่งนี้เป็น สิ่งนี้มันก็เป็นการสื่อสาร มันเป็นเรื่องของการดำรงชีวิต มันเป็นสัมมาอาชีวะ มันเป็นเรื่องการสื่อสารของสังคมของมนุษย์ ในมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ถ้าเราโดนกิเลสครอบงำ สิ่งนี้มันกลับเป็นสิ่งที่เป็นโทษกับเรา มันเป็นเหมือนมีด ๒ คม คมหนึ่งใช้เป็นประโยชน์ก็ได้ คมหนึ่งใช้เป็นโทษก็ได้

ปัญญาของเราใช้เป็นประโยชน์ก็ได้ ใช้เป็นโทษก็ได้ คนที่เขาเอารัดเอาเปรียบกัน ที่เขาฉ้อโกงกัน เขาใช้อะไรล่ะ เขาใช้ปัญญาของเขา แต่ปัญญาโกง ฉลาดแกมโกง เห็นไหม ฉลาดแกมโกงเอาตัวรอดไม่ได้นะ เพราะมันทำสิ่งใดๆ “กลิ่นของศีลจะหอมทวนลม” กลิ่นของคุณงามความดีไง

คนถ้ามันทำเขาเรื่อยๆ มันทำบ่อยครั้งเข้า.. นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” แพ้เป็นพระ.. เรามีสติของเรา เรายับยั้งของเรา มันมีเวรมีกรรมต่อกัน มันถึงเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเขามาทำเรานะ ต่อไปข้างหน้าเขาไปทำใคร เดี๋ยวเขาต้องมีผลของเขา เห็นไหม

นี่ฉลาดแกมโกง คิดว่าฉลาดแล้วเอาเปรียบเขาไปเรื่อยๆ นึกว่าจะเอาตัวรอดได้.. เป็นไปไม่ได้หรอก มันถึงจุดหนึ่งมันต้องเป็นไป เห็นไหม มันเป็นไป เพราะมันต้องมีคนหนึ่งต้องมีกรรมที่เขาสร้างกันมา เขาจะต้องไปชดใช้กรรมต่อกัน แต่ถ้าเราไปตอบโต้เขา เราไปทำสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป เราจะเอาชนะตนเอง เราไม่สร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไป

ถ้าเราเอาชนะตัวเราเองได้ ทุกอย่างจะเป็นความสุขหมดเลย ถึงเขาจะฉ้อโกง เขาจะทำอะไรไปนะ.. ฉ้อโกง ! คำว่าฉ้อโกงเห็นไหม ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะเราจะให้เขาฉ้อโกงไหม แต่ทำไมเราพลั้งเผลอไปล่ะ ทำไมเราเห็นดีเห็นงามไปกับเขาล่ะ ทำไมคนอื่นมาพูดเราไม่เชื่อเขาล่ะ ทำไมคนนี้เราไปเชื่อเขาล่ะ

มันเป็นสิ่งที่เป็นเวรเป็นกรรม ถ้าเวรกรรมมันจะเชื่อเขา มันจะเห็นไปตามกับเขา ถ้ามันไม่ถึงคราวนะมันมาเอะใจ มันคิดได้ มันมีความพอใจ.. สิ่งนี้ถ้าเรามีปัญญาของเรา มีสติของเรา นี่สิ่งนี้มันจะเกิดมา.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ

“ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทในชีวิต ความประมาทในความคิด ถ้าเราไม่มีความประมาท มีสติสัมปชัญญะเราคิดสิ่งใดก็ได้ แต่เพราะเราประมาท เราเลินเล่อ สิ่งที่ประมาทเลินเล่อ เห็นไหม นี่สิ่งนี้ประมาท.. ถ้าเราประมาทนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าให้มีสติตลอดเวลา แม้แต่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทุกลมหายใจเข้าและลมหายใจออก สิ่งนั้นจะเป็นคนที่มีคุณค่า ชีวิตจะมีคุณค่ามาก ดีกว่าคนที่ใช้ชีวิตไปธรรมดา ร้อยปีพันปีก็ไม่เท่ากับเราตั้งสติไว้

การตั้งสติ เห็นไหม ตั้งสติมีประโยชน์สิ่งใด มีประโยชน์ที่ว่าเรารู้จักตัวเราเอง.. นี่เรารู้จักตัวเราเองรู้จากที่ไหน รู้จากความรู้สึก ถ้ามีสติ เห็นไหม ความคิดมันอยู่กับเราหมดเลย มันไม่ไปอยู่กับคนอื่นนะ ถ้ามีสติยับยั้งมัน ถ้ามีสติมันคิดนะ เรายังไม่รู้จักตัวเราเองเลย เราคิดห่วงหาอาวรณ์คนอื่นไปทั้งนั้นเลย ห่วงคนนู้น รักคนนี้ รักไปหมด แต่ทำไมไม่รักเราล่ะ ทำไมไม่รู้จักตัวเราล่ะ

ถ้ารู้จักตัวเรานะ มีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม ถ้ามีสติขึ้นมานี่มันรู้จักตัวเรา.. รู้จากที่ไหน รู้จากความรู้สึก รู้จากใจ ไม่ใช่รู้จากร่างกายนี้นะ ร่างกายนี้เหมือนกันนะ ดูสิ เกิดมานี้มีร่างกายเหมือนกัน ทุกข์ยากเหมือนกันหมดเลย แต่จิตใจคนไม่เท่ากัน จิตใจคนนี่รู้ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะการสร้างสมมา

การสร้างสมมา การมีศรัทธา.. พอมีศรัทธา มันมาทำบุญกุศลนี่มันได้ฟังธรรม ธรรมนี้มันเตือนตัวเราไง มันจะเตือนตัวเราตลอดเวลานะ นี่สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรู้สึก คือหัวใจ.. มีคุณค่ามาก เพราะความรู้สึกนี้มันดัดแปลงได้ มันทำให้ดีขึ้นมาก็ได้ คนคิดดีๆ นะ มีความคิดดี ทำดีกับสังคมมหาศาลเลย คนคิดร้ายเห็นไหม แม้แต่ของสาธารณะมันก็ไปลักไปขโมยของเขามา เขาหามาเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ มันก็ยังไปลักขโมยของเขามา

แต่ถ้าเป็นคนดี.. ดูสิ ดูคนโบราณเราเห็นไหม มีโอ่งน้ำ มีน้ำตั้งไว้หน้าบ้าน เพื่อให้คนสัญจรไปมาเขาได้ดื่มได้กิน เพราะอะไร เพราะเขาหิวกระหายมา อยากให้เขามีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราให้ความร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ

ดูสิ นี่คุณงามความดีของเรา ถ้าเราพลั้งเผลอ บ้านเราเปิดประตูไว้ เราไม่ดูแลรักษา คนไปใครออกเขาจะปิดให้นะ เพราะว่าเราเป็นคนดี เขาซึ้งน้ำใจเรา เห็นไหม แต่ถ้าเราเป็นคนชั่วนะ เราเป็นที่คนเขาไม่พอใจนะ ปิดไว้ขนาดไหน นี่ปิดไว้รักษาไว้ขนาดไหนนะ เขาก็ขโมย สิ่งใดๆ เขาก็เอาไปหมดล่ะ.. นี่ล้อมรั้วด้วยคน ล้อมรั้วด้วยคุณงามความดีของเรา ถ้าจิตใจคนมีความคิดที่ดีๆ มันจะสร้างสิ่งที่ดีๆ

สิ่งที่ดีๆ จากภายนอก แล้วสิ่งที่ดีๆ จากภายในล่ะ สิ่งที่ดีๆ จากภายในมันอยู่ที่ไหน นี่คนเขาบอกนะ บอกว่าบวชพระบวชเจ้า เรามาประพฤติปฏิบัติกันนี่แล้วไม่ได้ทำงาน มานั่งอยู่เฉยๆ ไม่มีประโยชน์สิ่งใด เขาไม่รู้หรอกว่าเราทำงานจากภายใน.. ถ้างานจากภายในนะ เอาความคิดของเราไว้ในอำนาจของเรา เอาความรู้สึกของเรา

พลังงานที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดคือความคิด.. เป็นสิ่งที่เร็วที่สุดนะเร็วกว่าแสง ความคิดนี้เร็วกว่าแสง เร็วกว่าทุกๆ อย่างเลย แล้วถ้าเราให้มันนิ่งได้ เราทำให้มันสงบของมันได้ มีพลังของมันได้ มันจะมีคุณประโยชน์ขนาดไหน ถ้ามันใช้ปัญญาขึ้นมา ปัญญาจากสิ่งนี้ นี่ปัจจยาการ เห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง

นิวเคลียร์ก็เหมือนกัน ปัจจยาการนี่ทฤษฎีสัมพันธ์ ทฤษฎีสัมพันธ์ของวิทยาศาสตร์นะ เวลาจุดระเบิดเขายังไม่เข้าใจ แต่ถ้าของเรานะ เราพิจารณาของเรา เราจะรู้ของเรา เราจะเห็นของเรา ถ้าเราไม่รู้ของเรา เราไม่เห็นของเรา เราจะแก้กิเลสของเราไม่ได้ เราจะรู้ของเรา เห็นของเรา ว่าปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างไร

ความคิดของเขานี่เป็นโลกียปัญญา เป็นทางวิชาชีพ ดูสิ เราดูเด็ก เห็นไหม เด็กบางคนเขาจะมีเชาว์ปัญญามาก เขาส่งไปแข่งขันทางฟิสิกส์ ทางต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ เขาได้เหรียญมาได้อะไรมา นี่เขาฝึกฝนของเขา มันฝึกฝนกันได้นะ สิ่งต่างๆ โลกียปัญญาฝึกฝนได้ ทางวิทยาศาสตร์ฝึกฝนได้ แต่การยั้งสติ การเอาความคิดของตัวเองไว้ในอำนาจของตัวเอง มันฝึกฝนได้ไหม

นี่มันฝึกฝนของมัน นี่ความเพียรชอบมันเป็นการฝึกฝน ถ้าฝึกฝน ถ้าใครเป็นคนรู้มันก็เป็นปัจจัตตัง มันรู้จำเพาะตน มันรู้จากในหัวใจของเรา ถ้าเรารู้ของเรา เรารักษาของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม แต่ทางวิทยาศาสตร์เขารู้จากข้างนอก เขาถึงต้องให้กรรมการให้คะแนนของเขาใช่ไหม แต่ของเรานี่ธรรมะมันให้คะแนน

นี่ธรรมะจัดสรร ! มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา แล้วเราจะเป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมา มันจะรู้กลางหัวใจขึ้นมา มันจะเข้าใจไปตามหัวใจของมัน

ชีวิตมีคุณค่าที่นี่นะ หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน ไม่ปฏิเสธนะ ดูพระยังต้องบิณฑบาต เห็นไหม ยังต้องดำรงชีวิตด้วยปัจจัย ๔ โยมก็ต้องดำรงชีวิตด้วยปัจจัย ๔ แต่ ! แต่มันเร่าร้อนไหม มันเหงา มันเศร้าสร้อยไหม อยู่ในบ้านของเรามันยังอาลัยอาวรณ์.. ความอาลัยอาวรณ์ ความเศร้าสร้อยหงอยเหงานี่ ในสโมสรสันนิบาต “ทุกดวงใจว้าเหว่”

ความว้าเหว่ของมัน มันไม่มีที่พึ่งของมัน มันไม่มีสมบัติของมัน เห็นไหม เราคิดแต่ฝากความคิดของเรา ฝากต่างๆ ไปเกาะไว้กับคนอื่นหมดเลย เราไม่ได้คิดอาศัยตัวเองเลย แต่ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นั่งเฉยๆ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กำหนดพุทโธ กำหนดต่างๆ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา นี่ได้ใช้ปัญญาใคร่ครวญตัวเอง ใคร่ครวญให้จิตใจมันสะอาดเข้ามา ล้อมเข้ามาจากภายใน

ถ้ามันสะอาดเข้ามาจากภายในนี่มันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา เห็นไหม สมบัติต่างๆ ข้างนอกเขาต้องฝากบัญชี เขาต้องมีตู้เซฟเก็บไว้ นี่อริยทรัพย์จากภายใน มันจะไปฝากไว้ที่ไหน เวลาตายนี่ตายแล้วไปไหน ปฏิสนธิจิตมันไปไหน เวลาเกิดนี่เกิดมาอย่างไร ว่าเกิดจากพ่อจากแม่.. เกิดจากพ่อจากแม่นี่ด้วยสายบุญสายกรรม แต่ถ้าไม่มีจิตเรามาเกิดไม่ได้หรอก แล้วเวลาตายไปนี่จิตมันไปไหน เวลาเกิดมันเกิดไปที่ไหน มันเอาสิ่งใดไปด้วย

คุณสมบัติที่มันจะเอาไปด้วย เห็นไหม นี่เราทำบุญกุศล ถ้าเราทำบุญกุศล เราเป็นคนทำคุณงามความดี เราจะตื่นเต้นตกใจไปกับใครไหม ถ้าสมบัติเราเต็มตัวเลย เรามีสมบัติมหาศาลเลย เราจะตื่นเต้นกับการต้องใช้สอยไหม คนที่ขาดแคลน คนที่ไม่มี เวลาเขาจะเดินทางเขาก็ขาดแคลนของเขา เขาต้องวิตกกังวลเป็นธรรมดาใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันสละออกมา การทำบุญกุศลนี่เราทำด้วยมือ เห็นไหม มือใส่บาตร.. มือใส่บาตรใครเป็นคนสั่ง หัวใจเป็นคนสั่งใช่ไหม หัวใจเป็นคนทำ แล้วผลมันตอบที่ไหน เพราะใจที่มันเป็นคนสั่ง ใจที่มันรู้ สิ่งที่รู้นี่มันแนบอยู่กับใจ เวลาปฏิสนธิตัวใจที่มันจะไปตาย สิ่งสมบัติที่มันสละออกไป มันรู้ของมัน มันอยู่กับใจ อยู่กับความที่มันรับรู้อยู่ มันสละอันนั้น ถ้าสิ่งนั้นมันมีอยู่ เห็นไหม

เรามองกันว่าคนจะทำบุญต้องใช้มือนะถึงจะใส่บาตรได้ แต่ไม่ได้คิดเลยว่าเจตนา สิ่งที่เป็นไปในหัวใจ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี่มันไปกับเรา แล้วเราเสียสละอย่างนี้ เราพร้อมตลอดเวลาอย่างนี้ เวลามันจะต้องไปตามวัฏฏะ มันมีเสบียงของมัน มันมีความเป็นไปของมัน นี่เป็นอามิส

สิ่งที่เป็นอามิส เราจะมีสมบัติมากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาใช้สอยไปมันก็หมดไปเป็นธรรมดา เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่สิ่งต่างๆ ชีวิตหนึ่งมันก็ต้องใช้สอยเป็นธรรมดา หมดอายุขัยมันก็มาเกิดใหม่ เห็นไหม แต่ถ้าเป็นอริยทรัพย์ล่ะ อริยทรัพย์มันมาจากไหน สิ่งที่เสียสละเท่าไหร่ได้มากเท่านั้น

การเสียสละนี่ เสียสละความคิด สิ่งที่เป็นปัญญา.. ปัญญามันเข้ามาทำลายความหมักหมมของใจ การทำลายความหมักหมมของใจมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากมรรค มรรคคืออะไร มรรคเห็นไหม ดูสิ ถ้าเป็นมรรคของคฤหัสถ์เขา ความเลี้ยงชีพชอบ การงานชอบ ทุกอย่างชอบ ปัญญาชอบ ชอบคือทำความที่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นมรรค มันเลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพด้วยอย่างไร

ความคิดนี่.. ใจมันกินความคิดเป็นอาหาร เวลามีความคิดขึ้นมา เราก็รู้สึกตัวขึ้นมา ถ้าไม่มีความคิดนะ เวลามันปล่อย เหม่อนะ นั่งสบาย โล่งๆ ไม่มีอะไรเลย เห็นไหม นี่เพราะมันไม่มีปัญญา ทีนี้มีปัญญา เห็นไหม มีปัญญาคือความคิด เวลาใจมันเสพ ดูสิมันเสพคือมันรู้สึกสิ่งที่ดีๆ ขึ้นมา นี่วิญญาณาหาร.. อาหารของใจ

อาหารคือความคิด อาหารต่างๆ แล้วสิ่งนี้ มรรคมันเป็นอย่างนี้ มรรคคือว่าความคิดที่มันเกิดขึ้นมาจากใจ เกิดขึ้นมาจากภพ เกิดขึ้นมาจากความรู้สึก แล้วมันเข้าไปทำลายความรู้สึก เพราะความรู้สึกนี่รู้สึกที่ดี มันก็คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ถ้าความรู้สึกที่ไม่ดีเอาความคิดที่ดี นี่มรรคไง เอาความคิด อาหารที่ดีเข้าไปลบล้างอาหารที่ไม่ดี อาหารที่ไม่ดีเพราะอะไร อาหารที่ไม่ดีมันชอบกิน ดูสิเราอยู่ทางโลก เห็นไหม อาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายนี่มันจืดชืด ไม่ค่อยมีรสชาติ อาหารอะไรที่มีรสชาติเราไปแสวงหา แต่ให้โทษต่อร่างกาย

หัวใจก็เหมือนกัน มันคิดสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดแต่เรื่องของมัน เห็นไหม นี่เป็นอาหารที่เป็นพิษ อาหารที่เป็นพิษแต่เรายับยั้งมันไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จักมัน แต่ถ้าเราตั้งสติของเรา แล้วกำหนดพุทโธของเรานะ ยับยั้งมัน.. ยับยั้งมัน ถ้ามีกำลังขึ้นมามันถึงจะยับยั้งได้

กำลังคือถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ คือมันมีสติ มันมีสมาธิขึ้นมา อาหารที่เกิด ความคิดที่ไม่ดีนี่มันจะเตือนตัวเอง พอคิดไม่ดี.. คิดทำไม คิดนี่คิดแล้วให้โทษไหม สิ่งที่คิดนี่คืออะไร นี่คือมาร นี่คือกิเลส แล้วความคิดที่ดีล่ะ ความคิดที่ดีมันเป็นมรรค.. เป็นมรรค คำว่าเป็นมรรค มรรคคือสัมมาอาชีวะ คือความคิดที่ดี

สัมมาอาชีวะ สัมมา.. สิ่งเลี้ยงชีวิตที่ดี เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สิ่งนี้ชอบ ชอบธรรม.. ความชอบธรรมมันจะทำให้เกิดความแข็งแรงขึ้นมา จิตใจแข็งแรงขึ้นมามันจะพัฒนาของมันขึ้นไป นี่มันจะเกิดขึ้น ความคิดที่ดีขึ้นไป

ความคิดที่ดีมันต้องเกิดจากการสร้าง การสะสม.. ความคิดที่ชั่วมันไม่ต้องสร้างสะสม เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา กิเลสไม่มีเหตุไม่มีผล มันคิดตามใจ เหมือนลูกเราเด็กๆ เลย มันร้องไห้ มันเรียกร้องตามอำนาจของมัน มันต่อรองนะ มันร้องไห้ มันจะเอาให้เราตามใจมัน

กิเลสก็เหมือนกัน ! มันเกิดมาจากจิตนี่ แล้วมันก็ดิ้นรนกลางหัวใจ มันก็ดิ้นรน มันก็เรียกร้องเอาตามอำนาจของมัน เห็นไหม เราตั้งสติขึ้นมา.. ตั้งสติขึ้นมา แล้วเราใช้กำหนดคำบริกรรมขึ้นมา ถ้าสู้มันไม่ได้ก็มีขันติบารมี อดทนมันไปก่อน แต่พอมีปัญญาขึ้นมานี่มันไล่ได้ อาหารที่จะเอาเข้าปากเรายังเลือกอาหารที่ดี ความคิดที่เกิดจากใจ มันจะเป็นความคิดที่ดีขึ้น.. ดีขึ้น.. ดีขึ้น เห็นไหม ความคิดที่มันดีขึ้น นี่พอดีมันจะรู้เอง คนเราถ้าเห็นโทษเห็นคุณ มันจะแสวงหาเอง

ดูสิ เรามาทำบุญตักบาตรกันเพื่ออะไร เพราะเราเข้าใจใช่ไหม ว่าสิ่งที่เราเสียสละไป มันได้ตอบสนองมามหาศาลเลย.. มหาศาลที่ไหน มหาศาลที่ความชุ่มชื่นใจ ที่ว่าเราพร้อมไปไง แต่ถ้าคนที่เขาขาดแคลนล่ะ คนที่เขาไม่มีจะสละ.. ไม่มีสละก็อนุโมทนาทานไง มีความดีใจไปกับเขา จิตใจมันดีขึ้นมานี่มองสิ่งใดเป็นดีหมด

ดูสิ เวลาหัวใจเราดี ต้นไม้ใบหญ้าสวยงามไปหมดเลย ถ้าเรามีความทุกข์นะ ดอกไม้สวยงามขนาดไหนมันก็ทุกข์ มันไม่ต้องการสิ่งใด ถ้ามันมีความสุขนะ ดอกไม้ใบหญ้า โอ้โฮ.. ทำไมมันสวยงามไปหมดเลย เพราะจิตใจมันมีความสุขใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน จิตใจทำสิ่งดีๆ ขึ้นมา นี่อาหารที่ดีๆ ของใจ เราพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามันดีขึ้นมาแล้วนี่มันหาทางออกได้

คนเราต้องให้ความรู้กัน “ให้ธรรมเป็นทาน” เห็นไหม มีความรู้กันขึ้นมา แล้วมันจะแสวงหาเอง ชีวิตนี้เราก็ประกอบสัมมาอาชีวะ หน้าที่การงานเราก็ทำของเราไป แต่ ! แต่สิ่งที่มันจะพ้นมากไปกว่านี้ ถ้ามากไปกว่านี้ ดูจุดยืนของจิต ถ้าจิตมีจุดยืนของมันนะ มันจะไม่หวั่นไหวไปกับโลกเลย “นี่ธรรมเหนือโลก”

จิตที่มันเหนือจากโลก มันจะหวั่นไหวไปกับโลก.. โลกคือความเป็นไปของสังคมไง กระแสสังคมที่มันติฉินนินทากันอยู่นี่มันเป็นกระแสโลก แล้วถ้าจิตใจที่มีจุดยืน มันหัวเราะเยาะเขาด้วย เหมือนเด็กเลย เหมือนผู้ใหญ่เรามองเด็ก เด็กที่มันพูด มันอวดรู้อวดดี ผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาเขายิ้มเยาะมันนะ เพราะมันไม่เข้าใจเรื่องชีวิตใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจเรื่องจิต เข้าใจเรื่องการเกิดและการตาย เราจะหัวเราะเยาะเขาเลย เอ็งจะเกิดจะตาย เอ็งยังหลงโลกอยู่ เอ็งยังต้องเกิดตายทับถม ชีวิตเอ็งทับถมอยู่กับโลกนะ.. แล้วเราเข้าใจสิ่งนี้ แล้วเราหาทางออก เราจะมีคุณค่าน้อยกว่าเขาได้อย่างไร แต่เขาไม่รู้จริงกับเราหรอก เขาจะไม่เห็นจริงกับเรา เขาจะไม่รู้คุณงามความดีของเรา เพราะความดีอย่างหยาบ อย่างละเอียด เขามองไม่เห็นกับเรา เห็นไหม

ถ้าเรามีการศึกษา เราเลี้ยงชีพของเราอย่างนี้ ชีวิตเราจะมีคุณค่า สิ่งใดๆ ที่สร้างไว้ ดูสิ โบสถ์วิหารต่างๆ ที่วัดเราสร้างกันอยู่นี้ มันจะเป็นสมบัติสาธารณะ มันจะอยู่เจริญที่นี่ แต่ชีวิตเรานี้ชั่วคราว เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เราจะต้องพลัดพรากจากไปวันใดวันหนึ่ง แต่สิ่งที่จะไม่พลัดพรากคือคุณงามความดีของเรา คือสิ่งที่เราสร้างสมของเรา สิ่งนี้สร้างแล้วมันจะอยู่กับเรา

เราสร้างสิ่งนี้.. เรื่องวัตถุนี่ผลัดกันอาศัย แต่เรื่องของคุณธรรม เรื่องของหัวใจ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ดูสิ เวลามีทรัพย์สมบัติกองเท่าภูเขา เห็นไหม แต่ถ้าคุณงามความดี มันกองยิ่งกว่าภูเขาขนาดไหน มันก็เก็บอยู่ที่ใจอันเดียว.. มันมีที่เก็บ ใจนี้สำคัญมาก รักษาใจนี้ แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง